Accessibility Tools

Skip to main content
เวลาทำการ จันทร์-ศุกร์ เวลา 8.30 น. - 16.30 น.
ขนาดตัวอักษร
สีตัวอักษร

ผู้เขียน: Theenaphat Kenyota

การประชุมส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อขับเคลื่อนและประเมินผลการดำเนินงานแผนเตรียมพร้อมแห่งชาติและแผนบริหารวิกฤตการณ์ (พ.ศ. ๒๕๖๖ – ๒๕๗๐) ณ จังหวัดเชียงราย

       เมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๖๘ กองความมั่นคงด้านการเตรียมพร้อมและการป้องกันประเทศ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ได้จัดการประชุมส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อขับเคลื่อนและประเมินผลการดำเนินงานแผนเตรียมพร้อมแห่งชาติและแผนบริหารวิกฤตการณ์ (พ.ศ. ๒๕๖๖ – ๒๕๗๐ ในระดับพื้นที่ภาคเหนือ ณ จังหวัดเชียงราย โดยมีนายรัชกรณ์ นภาพรพิพัฒน์ รองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นประธาน เพื่อรับทราบผลการดำเนินการเกี่ยวกับศักยภาพการเตรียมพร้อมของจังหวัดต่อประเด็นภัย ได้แก่ ๑) สาธารณภัย ๒) โรคติดต่ออุบัติใหม่และอุบัติซ้ำ ๓) ภัยคุกคามไซเบอร์ ๔) การก่อการร้าย ๕) วิกฤตการณ์ด้านพลังงาน และ ๖) วิกฤตการณ์ด้านอาหาร ตลอดจนเพื่อรับฟังข้อคิดเห็นของหน่วยงานในการดำเนินงานภายใต้นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ(พ.ศ. ๒๕๖๖ – ๒๕๗๐) (นโยบายและแผนความมั่นคงที่ ๑๔ การพัฒนาศักยภาพการเตรียมพร้อมแห่งชาติและการบริหารวิกฤตการณ์ระดับชาติ) และแผนเตรียมพร้อมแห่งชาติและแผนบริหารวิกฤตการณ์ (พ.ศ. ๒๕๖๖ – ๒๕๗๐)

       ทั้งนี้ ผู้แทนจากส่วนราชการส่วนกลางที่รับผิดชอบภัยคุกคาม ประกอบด้วย กระทรวงกลาโหม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพลังงาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้ายสากล กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และหน่วยงานในพื้นที่ได้ร่วมกันสะท้อนผลการดำเนินการและข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนาการขับเคลื่อนแผนเตรียมพร้อมแห่งชาติและแผนบริหารวิกฤตการณ์ฯ พร้อมทั้งสะท้อนปัญหาที่สำคัญในพื้นที่ ได้แก่ ปัญหาด้านยาเสพติด ปัญหาด้านสาธารณภัย โดยเฉพาะปัญหาน้ำท่วม น้ำป่าไหลหลาก และดินโคลนถล่มอย่างต่อเนื่อง ปัญหาด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและการอยู่ร่วมกันระหว่างคนกับสัตว์ และปัญหาด้านอาชญากรรมทางเทคโนโลยี

กองความมั่นคงด้านการเตรียมพร้อมและการป้องกันประเทศ
สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ

Loading

บทความเกี่ยวกับสรุปย่อคำวินิจฉัยฯ ประจำเดือนกรกฏาคม ๒๕๖๘

          บทความเกี่ยวกับสรุปย่อคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร และประเด็นข้อหารือ เพื่อเผยแพร่ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540

สามารถดูบทความย้อนหลังได้ที่..

บทความเกี่ยวกับสรุปย่อคำวินิจฉัย
คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร

Loading

การประชุมหารือกับภาคีเครือข่ายในพื้นที่ภาคใต้ เพื่อจัดทำ (ร่าง) แผนปฏิบัติการระดับชาติเพื่อแก้ไขปัญหาบุคคลไร้รัฐไร้สัญชาติ พ.ศ. ๒๕๖๘ – ๒๕๗๐

       เมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๖๘ ณ โรงแรม ฮอลิเดย์ อิน จังหวัดกระบี่ นายรพี โล่ชัยยะกูล ผู้อำนวยการกองความมั่นคงภายในประเทศ เป็นประธานในการประชุมหารือกับภาคีเครือข่ายในภาคใต้
       ที่ประชุมฯ ได้ให้ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะ โดยมุ่งเน้นกลุ่มคนไร้รัฐไร้สัญชาติชาวเล (มอแกน มอแกลน อูรักลาโว้ยจ) อย่างไรก็ดี ส่วนใหญ่เป็นผู้ได้รับการพัฒนาสถานะเรียบร้อยแล้ว แต่มีบางรายที่จะได้รับการพัฒนาสถานะตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๗ ซึ่งปัญหาและผลกระทบต่อกลุ่มชาวเลที่สะท้อนให้ภาครัฐช่วยสนับสนุนการแก้ไข อาทิ สิทธิทำกินและการอยู่อาศัย ให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมเฉพาะ โดยจะมีการดำเนินการผ่านแผนปฏิบัติการด้านการอยู่ร่วมกันภายใต้สังคมพหุวัฒนธรรมในประเทศไทย (พ.ศ. ๒๕๖๖ – ๒๕๗๐) โดยมีกองความมั่นคงจังหวัดชายแดนภาคใต้และชนต่างวัฒนธรรม สมช. รับผิดชอบหลัก

กองความมั่นคงภายในประเทศ
สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ

Loading

งานวันสถาปนาสำนักนายกรัฐมนตรี ปีที่ ๙๓

       วันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๘ เวลา ๐๙.๓๐ น. นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เข้าร่วมงานเนื่องในโอกาสวันสถาปนาสำนักนายกรัฐมนตรี ปีที่ ๙๓ โดยมี นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล

กลุ่มงานบริหารงานสารบรรณและประชาสัมพันธ์
สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ

Loading

การเข้าร่วมเป็นวิทยากรการประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างศักยภาพ การดำเนินการปกป้องและคุ้มครองผู้ย้ายถิ่นฐานในสถานการณ์เปราะบางภายใต้กฏหมายไทยและมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศเมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๘ ณ โรงแรม CANALIS Suvarnabhumi Bangkok

       เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๘ องค์กร International Detention Coalition (IDC) องค์กร Act for Peace และสํานักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติ (OHCHR) ร่วมกันจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างศักยภาพ การดําเนินการปกป้องและคุ้มครองผู้ย้ายถิ่นฐานในสถานการณ์เปราะบางภายใต้กฎหมายไทยและมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ โดยมี นายรพี โล่ชัยยะกูล ผู้อำนวยการกองความมั่นคงภายในประเทศ เข้าร่วมเป็นวิทยากรเสวนากลุ่ม เรื่อง กฎหมาย นโยบายระดับชาติ หลักการและข้อตกลงระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิของผู้ย้ายถิ่นฐานในสถานการณ์เปราะบาง ได้แก่ นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ (พ.ศ. ๒๕๖๖ – ๒๕๗๐) นโยบายและแผนความมั่นคงที่ ๖ การบริหารจัดการผู้หลบหนีเข้าเมืองและผู้โยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติ และนโยบายและแผนความมั่นคงที่ ๗ การป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ ณ โรงแรม CANALIS Suvarnabhumi Bangkok

       ทั้งนี้ การประชุมเชิงปฏิบัติการฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนสำหรับผู้ย้ายถิ่นในสถานการณ์ที่เปราะบาง เสริมสร้างความรู้และศักยภาพของเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการเกี่ยวกับกรอบกฎหมาย นโยบายของไทย และมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ควบคู่ไปกับการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ องค์กรระหว่างประเทศ และภาคประชาสังคม โดยยึดแนวทางการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน

กองความมั่นคงภายในประเทศ
สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ

Loading

นายราอุฟ มาซู (Mr. Raouf Mazou) ผู้ช่วยข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ ได้เข้าเยี่ยมคารวะและหารือข้อราชการกับเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ

       เมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๘ นายราอุฟ มาซู (Mr. Raouf Mazou) ผู้ช่วยข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ ได้เข้าเยี่ยมคารวะและหารือข้อราชการกับเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ณ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ทำเนียบรัฐบาล โดยได้มีการหารือและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในหลายประเด็น ดังนี้ ๑) แนวทางการบริหารจัดการและการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ผู้หนีภัยความไม่สงบชาวเมียนมา ๒) สถานการณ์ผู้โยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติในภูมิภาค ๓) แนวทางความร่วมมือระหว่างสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ ประจำประเทศไทย ในอนาคต

กองความมั่นคงภายในประเทศ
สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ

Loading

ข้อมูลชี้แจง เรื่อง หลักเกณฑ์เพื่อเร่งรัดการแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะบุคคลให้แก่บุคคลที่อพยพเข้ามาอยู่ ในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน และกลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักร

• การประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2567 มีมติอนุมัติให้เสนอคณะรัฐมนตรี พิจารณาเพื่อแก้ไขปัญหาสถานะของชนกลุ่มน้อย/กลุ่มชาติพันธุ์ 19 กลุ่มที่อาศัยและอพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน รวมทั้งกลุ่มบุตรหลานของคนกลุ่มดังกล่าวที่เกิดและเติบโตในประเทศไทย ใช้ชีวิตร่วมกับคนไทยอย่างสงบ สันติสุข และมีความผูกพันกับแผ่นดินนี้โดยแท้จริง ซึ่งต่อมาเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่เสนอ

• ในความเป็นจริง กลุ่มคนเหล่านี้ไม่ได้เป็นต่างด้าวหน้าใหม่ แต่คือ ผู้ที่อยู่ในสังคมไทยมานาน หลายครอบครัวอยู่กันมารุ่นต่อรุ่น โดยไม่มีสถานะทางกฎหมายที่แน่นอน ดังนั้น การให้สถานะหรือสัญชาติกับบุคคลกลุ่มนี้ จึงไม่ใช่การให้ใครก็ได้เข้ามาแล้วรับสิทธิในทันที โดยเฉพาะ แรงงานต่างด้าวจากเมียนมา ลาว กัมพูชา และเวียดนาม

• มติคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้มุ่งหมายแก้ปัญหาที่เกี่ยวเนื่องจากสถานะบุคคลตามกฎหมายที่ไม่ชัดเจนให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยกำหนดเงื่อนไขการได้สถานะอย่างชัดเจนและรัดกุมรอบคอบให้เฉพาะกลุ่มเป้าหมายชนกลุ่มน้อย/กลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งได้รับการสำรวจ คัดกรอง และพิสูจน์เพื่อพัฒนาสถานะของบุคคล ปรากฏรายชื่ออยู่ในฐานข้อมูลของกรมการปกครองแล้ว ทั้งนี้ หลักเกณฑ์ดังกล่าวกำหนดกรอบระยะเวลาใช้บังคับ 1 ปี ซึ่งผู้ยื่นคำขอจะต้องรับรองคุณสมบัติของตนเอง โดยหากให้ข้อมูลเท็จหรือพบพฤติการณ์ที่เป็นภัยจะถูกเพิกถอนสถานะในภายหลัง

• การได้สถานะ แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ 1) การได้ใบสำคัญถิ่นที่อยู่เพื่ออาศัยอยู่ในราชอาณาจักรไทยอย่างถาวรและถูกต้องตามกฎหมายของกลุ่มชนกลุ่มน้อย/กลุ่มชาติพันธุ์ที่อพยพเข้าไทย 19 กลุ่ม จำนวน 340,101 คน และ 2) การได้สัญชาติไทยของบุตรชนกลุ่มน้อย/กลุ่มชาติพันธุ์ที่เกิดในไทย จำนวน 143,525 คน

• ค่าธรรมเนียมในการดำเนินการต่าง ๆ ของทางราชการ กำหนดอยู่ที่ 900 บาท สำหรับผู้ยื่นคำขอเพื่อให้ได้ใบสำคัญถิ่นที่อยู่ และ 100 บาท สำหรับผู้ยื่นคำขอเพื่อรับบัตรประจำตัวประชาชน ดังนั้น หากมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเกินอัตรา หรือค่าใช้จ่ายอื่นใด โปรดแจ้งศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต กรมการปกครอง หรือศูนย์ดำรงธรรม เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของการดำเนินการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อป้องกันและปราบปรามผู้ไม่มีคุณสมบัติเข้ามาแสวงประโยชน์หรือถูกหลอกลวง และผู้ฉวยโอกาสแอบอ้างให้ความช่วยเหลือเพื่อหวังผลประโยขน์โดยมิชอบ

• ดังนั้น การให้สถานะจึงไม่ใช่การแย่งสิทธิคนไทย แต่เป็นการทำให้ทุกคนที่อาศัยอยู่ร่วมกันมีความชัดเจนในกฎหมาย เพื่อให้รัฐบริหารจัดการได้อย่างเป็นระบบ ลดช่องโหว่การเอารัดเอาเปรียบ และที่สำคัญคือ ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนที่อาศัยอยู่ในประเทศเดียวกันให้เป็นธรรมและมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ตามหลักสิทธิมนุษยชน การรักษาความมั่นคง และผลประโยชน์แห่งชาติ


สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ

Loading

พิธีรับเหรียญพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗

       วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๘ เวลา ๑๑.๐๐ น. นายรพี โล่ชัยยะกูล ผู้อำนวยการกองความมั่นคงภายในประเทศ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ร่วมพิธีรับเหรียญพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ เบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ณ ห้อง ๑๐๙ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี

กลุ่มงานบริหารงานสารบรรณและประชาสัมพันธ์
สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ

Loading

การประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ ครั้งที่ ๕/๒๕๖๘

       เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๘ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ ครั้งที่ ๕/๒๕๖๘ ณ ห้องประชุมวิจิตรวาทการ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ทำเนียบรัฐบาล ที่ประชุมฯ ได้รับทราบการประเมินสถานการณ์ความมั่นคงที่สำคัญในประเทศ รวมถึงแนวโน้มสถานการณ์ และผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนไทย – กัมพูชา และการประเมินผลการปฏิบัติตามมติสภาความมั่นคงแห่งชาติ ครั้งที่ ๔/๒๕๖๘ ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการแก้ไขปัญหาความมั่นคงชายแดนไทย – กัมพูชา โดยที่ประชุมฯ ได้กำหนดมาตรการเพื่อยุติความขัดแย้งและลดความตึงเครียดโดยเน้นการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี พร้อมด้วยการพัฒนาแนวทางเชิงรุกต่อกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติบริเวณชายแดนดังกล่าวให้เกิดผล เพื่อปกป้องอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน และรักษาความมั่นคงและความเป็นอยู่โดยปกติสุขของประชาชนชาวไทย

       นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ได้ให้ความสำคัญกับการประเมินและทบทวนมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติในพื้นที่ชายแดนไทย – เมียนมาให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน รวมทั้งบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีการดำเนินการต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

กองนโยบายและยุทธศาสตร์ความมั่นคง
สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ

Loading

เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติเข้าร่วมงานวันประกาศอิสรภาพของสหรัฐฯ ณ Topgolf Megacity

       เมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๖๘ นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เข้าร่วมงานเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสครบรอบ ๒๔๙ ปี วันประกาศอิสรภาพของสหรัฐฯ (วันชาติสหรัฐฯ) ณ ท็อปกอล์ฟ เมกาซิตี้ จ.สมุทรปราการ โดยมีนาย โรเบิร์ต เอฟ. โกเดค เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย ให้การต้อนรับ ในโอกาสดังกล่าว นายโกเดคได้แสดงความขอบคุณและให้กำลังใจนายฉัตรชัยฯ สำหรับการจัดการความท้าทายด้านความมั่นคงต่าง ๆ ในปัจจุบัน

       On June 25, 2025, Mr. Chatchai Bangchaud, Secretary-General of the National Security Council of Thailand, attended the celebration marking the 249th anniversary of the independence of the United States of America (U.S. Independence Day) at Topgolf Megacity, Samut Prakan. On this occasion, H.E. Mr. Robert F. Godec, U.S. Ambassador to Thailand expressed his appreciation and encouragement to the Secretary-General for his efforts in addressing current security challenges.

กองความมั่นคงระหว่างประเทศ
สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ

Loading

GFEAI 2025 ปิดฉากยิ่งใหญ่ นายกฯ แพทองธาร นำวิสัยทัศน์ Human-Centric AI กระทรวง DE พร้อมขับเคลื่อนธรรมาภิบาล AI ดัน AIGPC ศูนย์กลางจริยธรรม AI ภูมิภาค

กรุงเทพฯ, 28 มิถุนายน 2568 – ประเทศไทยประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับโลก “The 3rd UNESCO Global Forum on the Ethics of AI 2025 (GFEAI 2025)” ระหว่างวันที่ 24–27 มิถุนายน 2568 ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพมหานคร โดยมีผู้นำ นักวิชาการ และผู้แทนจากกว่า 100 ประเทศทั่วโลก มากกว่า 1,000 คน ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองและออกแบบทิศทางการพัฒนา AI ที่มี “จริยธรรม โปร่งใส และยั่งยืน” พร้อมเปิดฉากเดินหน้าศูนย์ AI Governance Practice Center (AIGPC) ดันไทยสู่ศูนย์กลางจริยธรรม AI ระดับภูมิภาค ภายใต้การนำของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
       นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดการประชุม พร้อมประกาศวิสัยทัศน์ “AI เพื่อมนุษย์ทุกคน” โดยเน้นการพัฒนา Human-Centric AI ที่ใช้เทคโนโลยีเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต มุ่งเน้นทั้งภาคเกษตร การแพทย์ และการศึกษา รวมถึงรับมือกับภัยคุกคามทางดิจิทัล ผ่านการเสริมสร้างทักษะ Digital Literacy ให้ประชาชน รัฐบาลยังประกาศงบลงทุนด้าน AI รวมกว่า 15.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และตั้งเป้าสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 4 พันล้านบาทภายในปี 2570 พร้อมจัดตั้งศูนย์ AI Governance Practice Center (AIGPC) แห่งแรกในเอเชีย-แปซิฟิค พร้อมร่วมมือกับ UNESCO และเตรียมผลักดันให้เป็น Category 2 Centre อย่างเป็นทางการในอนาคต
       ด้าน นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม แถลงย้ำถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยในการขับเคลื่อน AI อย่างมีจริยธรรม ทั้งในเชิงนโยบายและการใช้งานจริง โดยเฉพาะในภาคเศรษฐกิจ ภาคอุตสาหกรรม และบริการ พร้อมประกาศเป้าหมายการพัฒนาบุคลากรด้าน AI ผู้เชี่ยวชาญ 90,000 คน นักพัฒนา 50,000 คน และเข้าถึงผู้ใช้งานกว่า 10 ล้านคน รวมถึงการผลักดันแผนยุทธศาสตร์ AI แห่งชาติอย่างต่อเนื่อง
       ภายในงานยังได้มีการหารือเชิงลึกถึงแนวทางการจัดตั้งเครือข่ายผู้กำกับดูแล AI ระดับโลก Global Network of AI Supervising Authorities – GNAIS เพื่อร่วมกันพัฒนาหลักปฏิบัติ ที่ยึดหลักสิทธิมนุษยชน ความโปร่งใส ความหลากหลาย และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน โดยประเทศไทยได้รับการยกย่องในฐานะผู้นำระดับภูมิภาค ที่ขับเคลื่อนนโยบายและแนวทางปฏิบัติด้าน AI อย่างรอบด้าน
       เวทีนี้ยังเป็นพื้นที่แห่งความร่วมมือหลากมิติ รวมไปถึงในระดับทวิภาคีระหว่างไทยกับหลายประเทศ เช่น อินโดนีเซีย ที่ร่วมกำหนดแนวทางจริยธรรม AI และการกำกับดูแลแพลตฟอร์ม การร่วมมือกับมาเลเซีย เพื่อนำไปสู่การแลกเปลี่ยนในด้าน AI เมืองอัจฉริยะและเกมดิจิทัล พร้อมการเตรียมเข้าร่วม ASEAN AI Summit ในระยะต่อไป นอกจากนี้ ยังเป็นโอกาสในการผนวกความร่วมมือกับผู้แทนจากภาครัฐ ภาคเอกชน นักวิจัย และภาคประชาสังคม ร่วมแลกเปลี่ยนแนวคิดและประสบการณ์ในประเด็นต่าง ๆ เช่น นวัตกรรม การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ความเป็นธรรมทางเพศและสังคม ระบบนิเวศการลงทุนในเทคโนโลยี AI ที่ปลอดภัย มีความรับผิดชอบ และยึดหลักจริยธรรม
       อีกหนึ่งความสำเร็จที่โดดเด่น คือการผลักดันให้กรอบการประเมินความพร้อมด้าน AI ของยูเนสโก หรือ UNESCO RAM (UNESCO Readiness Assessment Methodology) กลายเป็นเครื่องมือหลักในการยกระดับศักยภาพของภูมิภาคอาเซียน โดยประเทศไทยร่วมกับประเทศในภูมิภาค นำกรอบนี้ไปใช้ในการวางระบบกำกับดูแล AI การส่งเสริม Open Data และ Open Source การพัฒนาทักษะบุคลากร รวมถึงการกำหนดยุทธศาสตร์ AI แห่งชาติที่เหมาะสมกับบริบทของแต่ละประเทศ
       งานนี้ ยังมีการลงนามบันทึกความร่วมมือ 3 ฝ่าย ระหว่าง ETDA, NECTEC และ DataDotOrg เพื่อร่วมกันเร่งพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้าน Data & AI ครอบคลุมเป้าหมายกว่า 10,000 คน ภายใน 2 ปี และสร้างระบบนิเวศการเรียนรู้ AI ที่ยั่งยืนในระดับประเทศและภูมิภาค
       ด้านการศึกษาและเยาวชน เยาวชนไทยกว่า 200 คนได้เข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ในงาน โดยเฉพาะประเด็น “AI for Children” ที่ได้รับความสนใจอย่างมาก จากการเปิดเผยข้อมูลของ UNICEF ว่าเด็กกว่า 60% ในเอเชียตะวันออกเริ่มใช้งาน AI โดยไม่รู้เท่าทันความเสี่ยง ขณะที่ประเทศไทยเดินหน้าเปิดตัวโครงการ “Digital Vaccine powered by DQ” และอีก 2 โครงการหลัก ได้แก่ YDCD และ Digitally Ready เพื่อยกระดับความพร้อมของโรงเรียนไทยสู่การเป็น AI-Ready School ซึ่งเป็นต้นแบบให้ภูมิภาคกว่า 10 ประเทศภายในปี 2569
       การประชุมยังเป็นเวทีสำคัญในการสร้างความร่วมมือระดับทวิภาคี โดยไทยได้หารือกับหลายประเทศ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ด้านธรรมาภิบาล AI เมืองอัจฉริยะ และความร่วมมือทางการศึกษาด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะกับอินเดีย ซึ่งเป็น Tech Powerhouse ของกลุ่มประเทศ Global South ไทยและอินเดียได้ร่วมมือกันอย่างต่อเนื่องมากว่า 2 ปี และกำลังขยายผลในเชิงปฏิบัติ เช่น การเชิญผู้เชี่ยวชาญด้าน AI เข้าร่วมพัฒนาโครงการในประเทศไทย
       การเป็นเจ้าภาพในครั้งนี้สะท้อนว่า “ประเทศไทยไม่ใช่เพียงผู้ตามเทคโนโลยี” หากแต่เป็นผู้กำหนดแนวทางสู่การใช้ AI ที่สอดคล้องกับค่านิยมพื้นฐานของมนุษย์ ทั้งในด้านสิทธิมนุษยชน ความเสมอภาค และธรรมาภิบาล โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างศักยภาพบุคลากรในภูมิภาค ยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางความร่วมมือด้าน AI (AI Cooperation Hub) แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และวางรากฐานสู่เศรษฐกิจดิจิทัลที่มีจริยธรรมและยั่งยืนในระยะยาว
       GFEAI 2025 ในปีนี้ จึงไม่ใช่เพียงเวทีประชุมวิชาการระดับนานาชาติเท่านั้น แต่ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่สะท้อนความพร้อมของประเทศไทยในฐานะผู้นำด้านจริยธรรม AI ทั้งในระดับชาติ ภูมิภาค และระดับโลก สู่อนาคตที่โปร่งใส ยั่งยืน และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง อีกทั้ง ภาพรวมของการเกิดขึ้นของมหกรรม Bangkok AI Week 2025 ยังได้เป็นการรวมตัวของเหล่าผู้เชี่ยวชาญและผู้ที่สนใจในประเด็นเชิงสังคม การเปิดตัวโครงการที่น่าสนใจของไทยจากภาคประชาสังคม และยังรวมไอเดีย เพื่อจุดประกายให้ผู้ประกอบการไทยได้เกิดแนวคิดที่นอกเหนือจากการเป็นผู้ใช้งานสู่ผู้พัฒนาในระยะต่อไป ยิ่งเป็นการเน้นย้ำถึงการจุดประกายความร่วมมือที่สร้าง “จุดเปลี่ยน” เพื่อนำไปสู่การกำหนดทิศทางของประเทศเพื่อพาไทยสู่อนาคต AI ที่ยั่งยืน-ติดตามความสำเร็จของเวทีระดับโลกได้ที่เพจ ETDA Thailand

Loading

ประกาศ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ รับสมัครพนักงานขับรถส่วนกลาง จำนวน ๗ อัตรา

      ประกาศ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ รับสมัครพนักงานขับรถส่วนกลาง จำนวน ๗ อัตรา โดยมีรายละเอียดดังนี้

Loading

Top