ผู้เขียน: Pitsanu ST

                      พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี/ประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ได้เป็นประธานการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๓
ณ ห้องประชุมวิจิตรวาทการ ชั้น ๓ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติซึ่งที่ประชุมดังกล่าวได้รับทราบแนวทางการปรับยุทธศาสตร์ชาติด้านความมั่นคงและ
ความคืบหน้าการจัดทำนโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการรับฟังความเห็นและปรับปรุง (ร่าง) นโยบายฯ ให้สอดคล้องกับความคิดเห็นของภาคส่วนต่างๆ ก่อนเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของกลไกที่เกี่ยวข้องตามลำดับต่อไป

                      นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบเกี่ยวกับการดำเนินการเสริมสร้างความมั่นคงในด้านเทคโนโลยี 5G ของไทย ซึ่งสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติจะได้มีการหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายใต้กลไกของสภาความมั่นคงแห่งชาติเพื่อขับเคลื่อนแนวทางเสริมสร้างความมั่นคงสำหรับเทคโนโลยี 5G ของไทยอย่างเหมาะสม ทั้งในการดำเนินการระดับนโยบายและแนวทางการปฏิบัติและกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบ รวมถึงประเด็นการจัดตั้งสถาบันความมั่นคงศึกษา สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมศ. สมช.) ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินการศึกษา วิจัย พัฒนาองค์ความรู้ และบริหารจัดการคลังสมองเผยแพร่ข้อมูลและองค์ความรู้ด้านความมั่นคง และรับทราบการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายวิชาการด้านความมั่นคงใน ๓ ประเด็น ประกอบด้วย ๑) ความร่วมมือระหว่างสำนักงานสภา
ความมั่นคงแห่งชาติกับหน่วยงานภายในประเทศและต่างประเทศ ๒) การสร้างการรับรู้รับทราบการดำเนินงานด้านความมั่นคง และ ๓) การกำหนดนโยบายวิชาการด้านความมั่นคง

                      นอกจากนี้ ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาความเหมาะสมของคณะที่ปรึกษาของสภาความมั่นคงแห่งชาติ ตามประกาศหลักเกณฑ์และวิธีการในการ
แต่งตั้งและการปฏิบัติหน้าที่ของคณะที่ปรึกษาของสภาความมั่นคงแห่งชาติ อันประกอบด้วย หัวหน้าส่วนราชการ ผู้เชี่ยวชาญสาขาต่าง ๆ นักวิชาการ รวม ๖ ด้าน ได้แก่ ๑) ด้านการเตรียมพร้อมและป้องกันประเทศ ๒) ด้านความมั่นคงภายในและระหว่างประเทศ ๓) ด้านเศรษฐกิจและสังคมจิตวิทยา ๔) ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและดิจิทัล ๕) ด้านการต่อต้านการก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติ และ ๖) ด้านการข่าวกรอง

                      ประเด็นสุดท้าย ที่ประชุมเห็นชอบแนวทางการพัฒนาแผนเตรียมพร้อมแห่งชาติเพื่อรองรับภัยคุกคามด้านความมั่นคงอุบัติจากโรคติดต่ออันตราย
ซึ่งจะมีส่วนช่วยพัฒนาระบบบริหารวิกฤติการณ์ของประเทศเพื่อรองรับกับภัยคุกคามด้านความมั่นคงอุบัติแบบใหม่จากโรคติดต่ออันตรายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และเห็นชอบในการมอบหมายให้สถาบันวัคซีนแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักในการแสวงหาแนวทางการผลิตวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ให้สำเร็จโดยเร็วต่อไป

๑๕ กันยายน ๒๕๖๓