Accessibility Tools

Skip to main content
เวลาทำการ จันทร์-ศุกร์ เวลา 8.30 น. - 16.30 น.
ขนาดตัวอักษร
สีตัวอักษร

ผู้เขียน: Theenaphat Kenyota

Thailand Highlights Progress on Statelessness Issues at the 76th UNHCR Executive Committee Session

      Geneva, Switzerland, 6–10 October 2025 – At the 76th session of the Executive Committee of the United Nations High Commissioner for Refugees (UNHCR), held at the Palais des Nations in Geneva, Thailand reaffirmed its strong commitment to humanitarian principles and responsibility-sharing in addressing the global refugee situation.

Leading the Thai delegation, Mr. Chatchai Bangchuad, Secretary General of the National Security Council, underscored Thailand’s achievements and ongoing efforts to support displaced persons and stateless populations, while also calling for stronger international solidarity amid rising global challenges.

Key Highlights from Thailand’s Statement:

• Support for Displaced Myanmar Nationals: On 26 August 2025, Thailand announced a landmark decision to allow more than 77,000 displaced persons from Myanmar, who have lived in temporary shelters for over four decades, to work outside the camps. This policy balances humanitarian concerns with national security and represents a milestone toward sustainable, self-reliant solutions.
• Progress on Statelessness: Following the Thai Cabinet’s decision in October 2024, a new plan has accelerated the nationality and permanent residency process for approximately 480,000 stateless persons. To date, around 60,000 individuals have already benefited, reaffirming Thailand’s role as a founding member of the Global Alliance to End Statelessness.
• National Screening Mechanism (NSM): Since its launch in 2023, 7 individuals have been granted “protected person” status, with 205 cases under review. Thailand continues to refine the mechanism with technical support from UNHCR.
• Alternatives to Detention for Migrant Children: Over the past seven years, more than 2,000 children and families have been released from immigration detention and supported in communities and shelters, reflecting Thailand’s commitment to child protection and compliance with the Convention on the Rights of the Child.
• Support for Rohingya: Thailand reaffirmed its pledge made at the 2023 Global Refugee Forum to provide humanitarian assistance to Rohingyas in Bangladesh and development aid to Myanmar’s Rakhine State. In 2025, Thailand contributed 700,000 Baht to the World Food Programme to support food security for Rohingyas in Bangladesh.

Mr. Chatchai emphasized that these initiatives reflect Thailand’s resolve to pursue policies aligned with humanitarian principles, international standards, and national priorities.

UNHCR Praises Thailand’s Leadership

In his address, Mr. Filippo Grandi, UN High Commissioner for Refugees, commended Thailand’s leadership as “a highly important step” and “an excellent example” of sustainable and humane refugee responses. He highlighted Thailand’s role as a global leader in addressing statelessness, citing its efforts that have already benefited hundreds of thousands of people.

Reflecting on his personal connection with Thailand—where he began his humanitarian work over 40 years ago—Mr. Grandi expressed his deep appreciation for the country’s continued partnership with UNHCR, calling Thailand “a country close to my heart.”

Looking Ahead

Thailand reaffirmed its readiness to work closely with UNHCR, donor countries, and civil society organizations, and looks forward to contributing constructively to the Global Refugee Forum Progress Review in December 2025.

📍 For Full Statement by the Delegation of Thailand please see at https://www.unhcr.org/sites/default/files/2025-10/43-thailand.pdf

กองความมั่นคงภายในประเทศ
สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ

Loading

ประกาศเปิดรับสมัครพนักงานจ้างเหมาบริการ ตำแหน่ง เจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน กองความมั่นคงระหว่างประเทศ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ

      ประกาศกองความมั่นคงระหว่างประเทศ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เปิดรับสมัครบุคคลทั่วไปเพื่อปฏิบัติงานเป็นพนักงานจ้างเหมาบริการ วุฒิ ปริญญาตรี ตำแหน่ง เจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน จำนวน ๑ อัตรา โดยมีรายละเอียดดังนี้

Loading

การประชุมคณะกรรมการบริหารของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR ExCom) สมัยที่ 76

       นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนประเทศไทย กล่าวถ้อยแถลงในการประชุมคณะกรรมการบริหารของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาติ (UNHCR ExCom) สมัยที่ 76 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 6 – 10 ตุลาคม 2568 ณ สำนักงานสหประชาชาติ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส
เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ได้กล่าวถ้อยแถลงของประเทศไทย สรุปได้ ดังนี้
       1. ในนามของคณะผู้แทนประเทศไทย กระผมขอแสดงความชื่นชมอย่างจริงใจต่อบทบาทเชิงรุกของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ในการให้การสนับสนุนด้านมนุษยธรรมแก่ผู้พลัดถิ่นและผู้ที่ต้องการการคุ้มครองระหว่างประเทศ

       2. ความขัดแย้งและความไม่มั่นคงยังคงดำรงอยู่ในหลายภูมิภาคของโลก ส่งผลให้ผู้คนนับล้านต้องละทิ้งถิ่นฐานของตนเองและนำไปสู่จำนวนผู้พลัดถิ่นที่สูงเป็นประวัติการณ์ ในบริบทเช่นนี้ ประเทศไทยในฐานะประเทศที่ให้ที่พักพิงแก่ผู้พลัดถิ่นเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า หลักการเรื่องการแบ่งปันภาระและความรับผิดชอบระหว่างประเทศ (international burden-and responsibility-sharing) มีความสำคัญยิ่งกว่าที่ผ่านมา

       3. ประเทศไทยมีความเห็นสอดคล้องกับข้อกังวลของข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ เกี่ยวกับแนวโน้มการลดลงของงบประมาณด้านมนุษยธรรมในระดับโลก ซึ่งนโยบายดังกล่าวบั่นทอนจิตวิญญาณแห่งความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และจะส่งผลกระทบในวงกว้างต่อผู้พลัดถิ่นนับล้านทั่วโลก

       4. สำหรับประเทศไทย กระผมมีความยินดีที่จะรายงานว่า ตลอดปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้บรรลุความก้าวหน้าที่สำคัญหลายประการในการบรรเทาความทุกข์ยากของผู้พลัดถิ่น
              4.1 ในฐานะประเทศที่ให้ที่พักพิงแก่ผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา กว่า 77,000 คน เป็นเวลากว่า 4 ทศวรรษ เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2568 ประเทศไทยได้อนุญาตให้บุคคลกลุ่มดังกล่าวสามารถทำงานนอกพื้นที่พักพิงชั่วคราวสำหรับผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมาได้ การตัดสินใจครั้งนี้ได้ผ่านการพิจารณาอย่างรอบคอบบนพื้นฐานของหลักมนุษยธรรม ความมั่นคงของชาติ และผลประโยชน์แห่งชาติในภาพรวม ประเทศไทยมองว่านโยบายนี้เป็นหมุดหมายสำคัญในการมุ่งสู่การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนและการพึ่งพาตนเอง ตอบสนองต่อบริบทด้านมนุษยธรรมระหว่างประเทศที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ทั้งนี้ ประเทศไทยจะดำเนินการตามนโยบายนี้โดยยึดหลักการและมาตรฐานระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด ในโอกาสนี้ ประเทศไทยขอแสดงความขอบคุณต่อ UNHCR ประเทศผู้บริจาค และองค์กรภาคประชาสังคม ที่ให้การสนับสนุนกลุ่มผู้พลัดถิ่นดังกล่าวมาโดยตลอด ความต่อเนื่องในการสนับสนุนมีความสำคัญอย่างยิ่งในช่วงเปลี่ยนผ่าน โดยเฉพาะในด้านการพัฒนาทักษะและการเตรียมความพร้อมด้านอาชีพสำหรับการดำรงชีวิตนอกพื้นที่พักพิงชั่วคราวฯ รวมทั้งยินดีที่จะรับความช่วยเหลือเพิ่มเติมสำหรับผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมากลุ่มเปราะบางที่ยังจำเป็นต้องพำนักอยู่ในพื้นที่พักพิงชั่วคราวฯ ต่อไป

              4.2 เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้เร่งรัดกระบวนการพิจารณาให้สถานะผู้มีถิ่นที่อยู่ถาวรและสัญชาติแก่บุคคลไร้รัฐไร้สัญชาติประมาณ 480,000 คน ซึ่งนับเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในนโยบายว่าด้วยการแก้ไขปัญหาความไร้รัฐไร้สัญชาติของประเทศไทย และเป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นของไทยในฐานะประเทศผู้ร่วมก่อตั้งพันธมิตรสากลเพื่อยุติภาวะไร้รัฐไร้สัญชาติ (Global Alliance to End Statelessness) จนถึงปัจจุบัน มีผู้ยื่นคำขอประมาณ 60,000 คนที่ได้รับประโยชน์จากมาตรการใหม่นี้

              4.3 ประเทศไทยให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการคัดกรองคนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรและไม่สามารถเดินทางกลับประเทศอันเป็นภูมิลำเนาได้ พ.ศ. 2562 (National Screening Mechanism – NSM) เพื่อให้การคุ้มครองแก่ผู้ที่จำเป็นต้องได้รับ นับตั้งแต่เริ่มดำเนินการในปี 2566 มีผู้ได้รับสถานะ “ผู้ได้รับการคุ้มครอง” แล้ว จำนวน 7 คน และอยู่ระหว่างการพิจารณาอีก 205 คน ขณะนี้ประเทศไทยกำลังอยู่ระหว่างการประเมินผลการดำเนินงานของ NSM เพื่อระบุแนวทางการปรับปรุงและยกระดับประสิทธิภาพของกลไกดังกล่าว ทั้งนี้ ประเทศไทยขอขอบคุณในความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องจาก UNHCR

              4.4 ประเทศไทยยังคงมุ่งมั่นดำเนินมาตรการทางเลือกแทนการกักตัวเด็กต่างด้าว ตั้งแต่เริ่มดำเนินโครงการเมื่อ 7 ปีก่อน มีเด็กและครอบครัวกว่า 2,000 คน ได้รับการปล่อยตัวจากสถานกักตัวคนต่างด้าว และได้รับการดูแลทั้งในชุมชนและสถานคุ้มครองของรัฐ สะท้อนถึงความตั้งใจของไทยในการให้ความคุ้มครองและความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่เด็กทุกคน สอดคล้องกับการถอนข้อสงวนของไทยต่อมาตรา ๒๒ แห่งอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก

       5. ประเทศไทยมีความห่วงใยต่อสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมที่เลวร้ายลงของชาวโรฮีนจา และสนับสนุนการหารือเชิงปฏิสัมพันธ์ในการประชุมระดับสูงเกี่ยวกับสถานการณ์ชาวโรฮีนจาและชนกลุ่มน้อยกลุ่มอื่น ๆ ในเมียนมา เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2568 ณ นครนิวยอร์ก

       6. ประเทศไทยจะยังคงบทบาทในการปฏิบัติตามคำมั่นที่ให้ไว้ในการประชุมผู้ลี้ภัยโลก (Global Refuge Forum – GRF) ครั้งที่สอง เมื่อปี พ.ศ. 2566 เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ชาวโรฮีนจาในบังกลาเทศ และสนับสนุนการพัฒนาในรัฐยะไข่ ทั้งนี้ ในปีนี้ประเทศไทยได้บริจาคเงินจำนวน 700,000 บาท ให้แก่โครงการอาหารโลก (World Food Programme – WFP) เพื่อสนับสนุนความมั่นคงทางอาหารของชาวโรฮีนจาในบังกลาเทศ

       7. ประเทศไทยยังคงมุ่งมั่นที่จะรักษาความสัมพันธ์อันดีกับ UNHCR และประชาคมระหว่างประเทศ และพร้อมที่จะเข้าร่วมการประชุมทบทวนความก้าวหน้าการดำเนินงานในการประชุม GRF ในเดือนธันวาคมปีนี้อย่างสร้างสรรค์

       8. สุดท้าย ในนามของประเทศไทย กระผมขอแสดงความขอบคุณอย่างสุดซึ้งต่อข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ สำหรับความทุ่มเทและความเป็นผู้นำที่ไม่เสื่อมคลาย ในการให้ความช่วยเหลือและคุ้มครองผู้พลัดถิ่นทั่วโลก ตลอดระยะเวลากว่าทศวรรษที่ดำรงตำแหน่ง ขออวยพรให้ท่านประสบความสำเร็จในทุกก้าวของการดำเนินงานในอนาคต

ในขณะที่ นายฟิลิปโป กรันดี ข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ ได้แสดงความเห็นต่อถ้อยแถลงของคณะผู้แทนไทย สาระสำคัญ คือ

       1. ชื่นชมไทยในความก้าวหน้าครั้งสำคัญ (Big Advances) ต่อการดำเนินนโยบายด้านผู้พลัดถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอนุญาตให้ผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมากว่า 77,000 คน สามารถทำงานนอกพื้นที่พักพิงชั่วคราวฯ ได้ ซึ่งถือเป็น “ก้าวย่างที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง” และเป็น “ตัวอย่างที่ดีมาก” ของการตอบสนองอย่างยั่งยืน

       2. ชื่นชมแนวทางของไทย ที่ให้ความสำคัญกับความพึ่งพาตนเองของผู้หนีภัย (Self – Reliance) ควบคู่กับหลักความมั่นคงและกติกาภายในประเทศ โดยมองว่าเป็นแนวทางที่ถูกต้องและเป็นหนทางที่ควรเดินต่อไป

       3. กล่าวว่าตนเคยเห็นผู้หนีภัยการสู้รบฯ เหล่านี้ด้วยตนเอง ในการเยือนไทยครั้งล่าสุด และรับรู้ถึงผลงานและความทุ่มเทของรัฐบาลไทยในภาคสนาม

       4. ชื่นชมบทบาทของไทยในฐานะ “ผู้นำของโลกด้านการแก้ปัญหาคนไร้รัฐไร้สัญชาติ” โดยเฉพาะมาตรการปรับปรุงแนวทางและกระบวนการการให้สัญชาติและถิ่นที่อยู่ถาวรแก่คนไร้รัฐฯ กว่า 480,000 คน ซึ่งถือเป็นเหตุผลสำคัญที่ UNHCR จัดการประชุมระดับสูงเพื่อสานต่อการทำงานในประเด็นนี้ต่อไป

       5. กล่าวขอบคุณไทยอย่างจริงใจ ที่ยังคงให้ความร่วมมือและเป็นพันธมิตรสำคัญของ UNHCR

       6. ไทยเป็น “ประเทศที่อยู่ใกล้หัวใจของเขา” เพราะเป็นสถานที่ที่เขา เริ่มต้นงานด้านผู้ลี้ภัยในฐานะอาสาสมัครกว่า 40 ปีก่อน และขอกล่าวถ้อยคำนี้ในวาระ “วันสุดท้ายของการดำรงตำแหน่ง”

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถรับชมได้ที่ https://webtv.un.org/en/asset/k1n/k1n6hddm20

กองความมั่นคงภายในประเทศ
สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ

Loading

การประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ ครั้งที่ ๑๒/๒๕๖๘

       เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๖๘ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ ครั้งที่ ๑๒/๒๕๖๘ ณ ห้องประชุมวิจิตรวาทการ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ทำเนียบรัฐบาล ที่ประชุมฯ ได้ร่วมกันพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทย – กัมพูชา และมีมติเห็นชอบให้คงมาตรการการแก้ไขปัญหาฯ ที่ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ มาตรการควบคุมจุดผ่านแดน มาตรการกดดันกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติ มาตรการต่างประเทศเชิงรุก โดยเน้นย้ำการปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน การบังคับใช้กฎหมายในการรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ชายแดน และให้เร่งรัดการเยียวยาประชาชนและเจ้าหน้าที่ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา ให้ดำเนินการอย่างรวดเร็วและครอบคลุม รวมทั้ง เห็นชอบกรอบการสร้างรั้วพื้นที่ตามแนวชายแดน โดยมอบหมายให้กองบัญชาการกองทัพไทย เป็นเจ้าภาพ นอกจากนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบ (ร่าง) นโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๖๘ – ๒๕๗๐ รวมทั้งจุดเน้นและแนวทางการขับเคลื่อนการดำเนินงาน โดยร่างนโยบายดังกล่าวมีเป้าหมายสำคัญให้จังหวัดชายแดนภาคใต้เข้าสู่ภาวะปกติที่ปราศจากความรุนแรง และได้รับการพัฒนาบนพื้นฐานของความหลากหลายทางวัฒนธรรม และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ทั้งนี้ มอบให้สำนักงานฯ เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบก่อนเสนอรัฐสภาเพื่อทราบต่อไป

       ทั้งนี้ ประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานติดตามประเมินสถานการณ์ความมั่นคงในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านชายแดนอย่างใกล้ชิด ด้วยการประสานและบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานให้มีเอกภาพ รวมทั้งให้ความสำคัญกับการสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนอย่างเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

กองนโยบายและยุทธศาสตร์ความมั่นคง
สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ

Loading

วันคล้ายวันสถาปนาสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ครบรอบปีที่ ๖๖

       วันอังคารที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๘ เวลา ๐๙.๔๕ น. ผู้บริหาร พร้อมด้วยอดีตผู้บริหาร ข้าราชการ รวมทั้งเจ้าหน้าที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ร่วมพิธีทำบุญถวายภัตตาหารเพล และถวายเครื่องไทยธรรม แด่พระสงฆ์ จำนวน ๙ รูป เนื่องในโอกาสคล้ายวันสถาปนาสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ครบรอบปีที่ ๖๖ ณ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ โดยมี พระกิตติวงศ์เวที ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และพลเอก จรัล กุลละวณิชย์ อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นประธาน ฝ่ายฆราวาส

กลุ่มงานบริหารงานสารบรรณและประชาสัมพันธ์
สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ

Loading

การดำเนินการคัดเลือกจากบัญชีผู้ผ่านการเลือกสรรได้ในตำแหน่ง นิติกร ของกรมการท่องเที่ยว ไปขึ้นบัญชีเป็นผู้ผ่านการเลือกสรรในตำแหน่ง นิติกร ของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ

      ด้วย สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ จะดำเนินการคัดเลือกบุคคลจากบัญชีผู้ผ่านการเลือกสรรได้ในตำแหน่งนิติกร ของกรมการท่องเที่ยว ตามประกาศกรมการท่องเที่ยว ลงวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๖๗ มาประเมินความรู้ความสามารถ เพื่อขึ้นบัญชีเป็นผู้ได้รับการคัดเลือกของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ

Loading

การดำเนินการคัดเลือกจากบัญชีผู้สอบแข่งขันได้ในตำแหน่ง นักจัดการงานทั่วไปปฏิบัติการ ของสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ ไปขึ้นบัญชีเป็นผู้ได้รับการคัดเลือกในตำแหน่ง นักจัดการงานทั่วไป ของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ

      ด้วย สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ จะดำเนินการคัดเลือกบุคคลจากบัญชีผู้สอบแข่งขันได้ในตำแหน่งนักจัดการงานทั่วไปปฏิบัติการ ของสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ ตามประกาศสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ ลงวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๘ มาประเมินความเหมาะสมกับตำแหน่ง เพื่อขึ้นบัญชีเป็นผู้ได้รับการคัดเลือกของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ

Loading

ประกาศรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือกและขึ้นบัญชี พนักงานจ้างเหมาบริการ ตำแหน่ง เจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน และ ตำแหน่ง เจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป กองความมั่นคงภายในประเทศ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ

      ประกาศรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือกและขึ้นบัญชี พนักงานจ้างเหมาบริการ ตำแหน่ง เจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน และ ตำแหน่ง เจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป กองความมั่นคงภายในประเทศ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ โดยมีรายละเอียดดังนี้

Loading

ประกาศรับสมัครพนักงานจ้างเหมาบริการตำแหน่งนักวิเคราะห์นโยบายและแผน จำนวน 4 อัตรา และเจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป จำนวน 1 อัตรา สังกัดกองความความมั่นคงจังหวัดชายแดนภาคใต้และชนต่างวัฒนธรรม

      ประกาศรับสมัครพนักงานจ้างเหมาบริการตำแหน่งนักวิเคราะห์นโยบายและแผน จำนวน 4 อัตรา และเจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป จำนวน 1 อัตรา สังกัดกองความความมั่นคงจังหวัดชายแดนภาคใต้และชนต่างวัฒนธรรม โดยมีรายละเอียดดังนี้

Loading

ประกาศรับสมัคร เจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป (พนักงานจ้างเหมาบริการ) สังกัดกลุ่มกฎหมาย (กกม.)

      ประกาศรับสมัคร เจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป (พนักงานจ้างเหมาบริการ) สังกัดกลุ่มกฎหมาย (กกม.) โดยมีรายละเอียดดังนี้

Loading

โครงการเสริมสร้างความเข้าใจและความร่วมมือกับภาคส่วนต่างประเทศ ผ่านการศึกษาดูงานของคณะผู้แทนทางการทูตในพื้นที่ จชต.

       ระหว่างวันที่ 29 กันยายน – 1 ตุลาคม 2568 สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้นำคณะเอกอัครราชทูต และผู้แทนทางการทูตจากทั้ง ๒๑ ประเทศ พร้อมด้วย คณะสื่อมวลชนทั้งในและต่างประเทศ เดินทางเยือนจังหวัดสงขลา ภายใต้โครงการเสริมสร้างความเข้าใจและความร่วมมือกับภาคส่วนต่างประเทศ ผ่านการศึกษาดูงานของคณะผู้แทนทางการทูตในพื้นที่ จชต. โดยความร่วมมือระหว่าง สมช. กระทรวงการต่างประเทศ จังหวัดสงขลา รวมถึงภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้แก่ ภาคเอกชน รัฐวิสาหกิจ ไปจนถึงภาคประชาชนที่ได้ให้การสนับสนุนการจัดโครงการฯ ดังกล่าว
       ตลอดระยะเวลา 3 วัน คณะผู้แทนทางการทูต ได้ไปเยี่ยมชมพื้นที่ที่แสดงถึงศักยภาพในด้านต่าง ๆ ของสงขลา เริ่มจากด้านวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ โดยการเยี่ยมชมโบราณสถาน พิพิธภัณฑ์ ย่านเมืองเก่า ไปจนถึงธุรกิจขนาดย่อมที่ผสานความเป็นสมัยใหม่เข้ากับอัตลักษณ์ของพื้นที่ ซึ่งจังหวัดสงขลายังอยู่ระหว่างการยื่นเสนอขอเป็นพื้นที่มรดกโลก (UNESCO World Heritage Site) ด้วย จากนั้นจึงได้เดินทางไปเยือนพื้นที่ที่การดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจสำคัญของจังหวัดสงขลาและของไทย เริ่มตั้งแต่การเยี่ยมชมโรงงานของบริษัทศรีตรังโกลฟส์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตถุงมือยางใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก ด่านศุลกากรสะเดา ที่มีปริมาณการเข้าออกสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศ โรงไฟฟ้าจะนะที่เป็นแหล่งพลังงานสำคัญของพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และยังได้พบกับตัวแทนจากภาคธุรกิจในสงขลาด้วย โดยในส่วนของกิจกรรมวันสุดท้าย คณะทูตฯ และสื่อมวลชน ได้เข้าเยี่ยมชมมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ เวชวิวัฒน์โรงพยาบาลเวชวิวัศน์ และอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคใต้ (PSU Science Park) เพื่อแสดงให้เห็นถึงความพร้อมในด้านการวิจัยและนวัตกรรม การแพทย์ และการศึกษาของพื้นที่ ยิ่งไปกว่านั้น การเดินทางฯ ยังเป็นการสะท้อนให้เห็นว่าพื้นที่สงขลามีความปลอดภัย พร้อมที่จะต้อนรับการท่องเที่ยว และการลงทุนจากต่างชาติ ในอนาคต

กองความมั่นคงจังหวัดชายแดนภาคใต้และชนต่างวัฒนธรรม
สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ

Loading

Top