พิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ การกำหนดมาตรการและแนวทางแทนการกักตัวเด็กไว้ในสถานกักตัวคนต่างด้าวเพื่อรอการส่งกลับ
พิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ
การกำหนดมาตรการและแนวทางแทนการกักตัวเด็กไว้ในสถานกักตัวคนต่างด้าวเพื่อรอการส่งกลับ
วันจันทร์ที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๖๒ เวลา ๑๐.๐๐ น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล
เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๖๒ เวลา ๑๐.๐๐ น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล ได้มีพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ เรื่อง การกำหนดมาตรการและแนวทางแทนการกักตัวเด็กไว้ใน สถานกักตัวคนต่างด้าวเพื่อรอการส่งกลับ ระหว่างหัวหน้าส่วนราชการ ๗ หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงาน ตำรวจแห่งชาติ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการต่างประเทศกระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ และ กระทรวงแรงงาน โดยมี รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) เป็นประธานสักขีพยานการลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าว
การจัดทาบันทึกความเข้าใจเป็นการดำเนินการที่สืบเนื่องจากการที่พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดระดับผู้นำด้านผู้ลี้ภัยของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา (Leaders’ Summit on Refugees) เมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๙ ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา และได้ประกาศคามั่นในการไม่กักตัวเด็กในห้องกักตรวจคนเข้าเมือง และคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของเด็ก รวมทั้งการปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights : ICCPR) โดยได้ย้าถึงความสาคัญของการให้การคุ้มครองเด็กผู้โยกย้ายถิ่นฐาน
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อให้สามารถปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศและกฎหมายภายในของไทย กรณีผู้ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายเป็นเด็กจนนำมาสู่ การจัดทำบันทึกความเข้าใจ เรื่อง การกำหนดมาตรการและแนวทางแทนการกักตัวเด็กไว้ในสถานกักตัว คนต่างด้าวเพื่อรอการส่งกลับ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบ เมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ นำมาสู่การร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ในวันนี้
บันทึกความเข้าใจฯ ฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบและแนวทางปฏิบัติงานของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการแก้ปัญหาการกักตัวเด็กของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองให้เป็นระบบและเกิดประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ยังแสดงถึงความพยายามของรัฐบาลไทยในการช่วยเหลือและปกป้องคุ้มครองเด็ก ที่ถูกกักไว้ในสถานกักตัวคนต่างด้าวเพื่อรอการส่งกลับ โดยยึดหลักการสาคัญ คือ การไม่กักตัวเด็ก ในห้องกักตรวจคนเข้าเมืองและคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของเด็ก
ความสำเร็จในการจัดทำบันทึกความเข้าใจฯ ในครั้งนี้ ถือได้ว่าประเทศไทยได้ดำเนินการ ตามคำมั่นที่นายกรัฐมนตรีได้ประกาศไว้ และเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์ของไทยในเวทีระหว่างประเทศ ในการส่งเสริมปกป้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชน โดยการบูรณาการการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องของไทยกับประชาคมระหว่างประเทศ