ข่าวประชาสัมพันธ์
การประชุมคณะกรรมการบริหารของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR ExCom) สมัยที่ 76

นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนประเทศไทย กล่าวถ้อยแถลงในการประชุมคณะกรรมการบริหารของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาติ (UNHCR ExCom) สมัยที่ 76 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 6 – 10 ตุลาคม 2568 ณ สำนักงานสหประชาชาติ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส
เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ได้กล่าวถ้อยแถลงของประเทศไทย สรุปได้ ดังนี้
1. ในนามของคณะผู้แทนประเทศไทย กระผมขอแสดงความชื่นชมอย่างจริงใจต่อบทบาทเชิงรุกของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ในการให้การสนับสนุนด้านมนุษยธรรมแก่ผู้พลัดถิ่นและผู้ที่ต้องการการคุ้มครองระหว่างประเทศ
2. ความขัดแย้งและความไม่มั่นคงยังคงดำรงอยู่ในหลายภูมิภาคของโลก ส่งผลให้ผู้คนนับล้านต้องละทิ้งถิ่นฐานของตนเองและนำไปสู่จำนวนผู้พลัดถิ่นที่สูงเป็นประวัติการณ์ ในบริบทเช่นนี้ ประเทศไทยในฐานะประเทศที่ให้ที่พักพิงแก่ผู้พลัดถิ่นเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า หลักการเรื่องการแบ่งปันภาระและความรับผิดชอบระหว่างประเทศ (international burden-and responsibility-sharing) มีความสำคัญยิ่งกว่าที่ผ่านมา
3. ประเทศไทยมีความเห็นสอดคล้องกับข้อกังวลของข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ เกี่ยวกับแนวโน้มการลดลงของงบประมาณด้านมนุษยธรรมในระดับโลก ซึ่งนโยบายดังกล่าวบั่นทอนจิตวิญญาณแห่งความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และจะส่งผลกระทบในวงกว้างต่อผู้พลัดถิ่นนับล้านทั่วโลก
4. สำหรับประเทศไทย กระผมมีความยินดีที่จะรายงานว่า ตลอดปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้บรรลุความก้าวหน้าที่สำคัญหลายประการในการบรรเทาความทุกข์ยากของผู้พลัดถิ่น
4.1 ในฐานะประเทศที่ให้ที่พักพิงแก่ผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา กว่า 77,000 คน เป็นเวลากว่า 4 ทศวรรษ เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2568 ประเทศไทยได้อนุญาตให้บุคคลกลุ่มดังกล่าวสามารถทำงานนอกพื้นที่พักพิงชั่วคราวสำหรับผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมาได้ การตัดสินใจครั้งนี้ได้ผ่านการพิจารณาอย่างรอบคอบบนพื้นฐานของหลักมนุษยธรรม ความมั่นคงของชาติ และผลประโยชน์แห่งชาติในภาพรวม ประเทศไทยมองว่านโยบายนี้เป็นหมุดหมายสำคัญในการมุ่งสู่การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนและการพึ่งพาตนเอง ตอบสนองต่อบริบทด้านมนุษยธรรมระหว่างประเทศที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ทั้งนี้ ประเทศไทยจะดำเนินการตามนโยบายนี้โดยยึดหลักการและมาตรฐานระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด ในโอกาสนี้ ประเทศไทยขอแสดงความขอบคุณต่อ UNHCR ประเทศผู้บริจาค และองค์กรภาคประชาสังคม ที่ให้การสนับสนุนกลุ่มผู้พลัดถิ่นดังกล่าวมาโดยตลอด ความต่อเนื่องในการสนับสนุนมีความสำคัญอย่างยิ่งในช่วงเปลี่ยนผ่าน โดยเฉพาะในด้านการพัฒนาทักษะและการเตรียมความพร้อมด้านอาชีพสำหรับการดำรงชีวิตนอกพื้นที่พักพิงชั่วคราวฯ รวมทั้งยินดีที่จะรับความช่วยเหลือเพิ่มเติมสำหรับผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมากลุ่มเปราะบางที่ยังจำเป็นต้องพำนักอยู่ในพื้นที่พักพิงชั่วคราวฯ ต่อไป
4.2 เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้เร่งรัดกระบวนการพิจารณาให้สถานะผู้มีถิ่นที่อยู่ถาวรและสัญชาติแก่บุคคลไร้รัฐไร้สัญชาติประมาณ 480,000 คน ซึ่งนับเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในนโยบายว่าด้วยการแก้ไขปัญหาความไร้รัฐไร้สัญชาติของประเทศไทย และเป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นของไทยในฐานะประเทศผู้ร่วมก่อตั้งพันธมิตรสากลเพื่อยุติภาวะไร้รัฐไร้สัญชาติ (Global Alliance to End Statelessness) จนถึงปัจจุบัน มีผู้ยื่นคำขอประมาณ 60,000 คนที่ได้รับประโยชน์จากมาตรการใหม่นี้
4.3 ประเทศไทยให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการคัดกรองคนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรและไม่สามารถเดินทางกลับประเทศอันเป็นภูมิลำเนาได้ พ.ศ. 2562 (National Screening Mechanism – NSM) เพื่อให้การคุ้มครองแก่ผู้ที่จำเป็นต้องได้รับ นับตั้งแต่เริ่มดำเนินการในปี 2566 มีผู้ได้รับสถานะ “ผู้ได้รับการคุ้มครอง” แล้ว จำนวน 7 คน และอยู่ระหว่างการพิจารณาอีก 205 คน ขณะนี้ประเทศไทยกำลังอยู่ระหว่างการประเมินผลการดำเนินงานของ NSM เพื่อระบุแนวทางการปรับปรุงและยกระดับประสิทธิภาพของกลไกดังกล่าว ทั้งนี้ ประเทศไทยขอขอบคุณในความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องจาก UNHCR
4.4 ประเทศไทยยังคงมุ่งมั่นดำเนินมาตรการทางเลือกแทนการกักตัวเด็กต่างด้าว ตั้งแต่เริ่มดำเนินโครงการเมื่อ 7 ปีก่อน มีเด็กและครอบครัวกว่า 2,000 คน ได้รับการปล่อยตัวจากสถานกักตัวคนต่างด้าว และได้รับการดูแลทั้งในชุมชนและสถานคุ้มครองของรัฐ สะท้อนถึงความตั้งใจของไทยในการให้ความคุ้มครองและความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่เด็กทุกคน สอดคล้องกับการถอนข้อสงวนของไทยต่อมาตรา ๒๒ แห่งอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก
5. ประเทศไทยมีความห่วงใยต่อสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมที่เลวร้ายลงของชาวโรฮีนจา และสนับสนุนการหารือเชิงปฏิสัมพันธ์ในการประชุมระดับสูงเกี่ยวกับสถานการณ์ชาวโรฮีนจาและชนกลุ่มน้อยกลุ่มอื่น ๆ ในเมียนมา เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2568 ณ นครนิวยอร์ก
6. ประเทศไทยจะยังคงบทบาทในการปฏิบัติตามคำมั่นที่ให้ไว้ในการประชุมผู้ลี้ภัยโลก (Global Refuge Forum – GRF) ครั้งที่สอง เมื่อปี พ.ศ. 2566 เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ชาวโรฮีนจาในบังกลาเทศ และสนับสนุนการพัฒนาในรัฐยะไข่ ทั้งนี้ ในปีนี้ประเทศไทยได้บริจาคเงินจำนวน 700,000 บาท ให้แก่โครงการอาหารโลก (World Food Programme – WFP) เพื่อสนับสนุนความมั่นคงทางอาหารของชาวโรฮีนจาในบังกลาเทศ
7. ประเทศไทยยังคงมุ่งมั่นที่จะรักษาความสัมพันธ์อันดีกับ UNHCR และประชาคมระหว่างประเทศ และพร้อมที่จะเข้าร่วมการประชุมทบทวนความก้าวหน้าการดำเนินงานในการประชุม GRF ในเดือนธันวาคมปีนี้อย่างสร้างสรรค์
8. สุดท้าย ในนามของประเทศไทย กระผมขอแสดงความขอบคุณอย่างสุดซึ้งต่อข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ สำหรับความทุ่มเทและความเป็นผู้นำที่ไม่เสื่อมคลาย ในการให้ความช่วยเหลือและคุ้มครองผู้พลัดถิ่นทั่วโลก ตลอดระยะเวลากว่าทศวรรษที่ดำรงตำแหน่ง ขออวยพรให้ท่านประสบความสำเร็จในทุกก้าวของการดำเนินงานในอนาคต
ในขณะที่ นายฟิลิปโป กรันดี ข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ ได้แสดงความเห็นต่อถ้อยแถลงของคณะผู้แทนไทย สาระสำคัญ คือ
1. ชื่นชมไทยในความก้าวหน้าครั้งสำคัญ (Big Advances) ต่อการดำเนินนโยบายด้านผู้พลัดถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอนุญาตให้ผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมากว่า 77,000 คน สามารถทำงานนอกพื้นที่พักพิงชั่วคราวฯ ได้ ซึ่งถือเป็น “ก้าวย่างที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง” และเป็น “ตัวอย่างที่ดีมาก” ของการตอบสนองอย่างยั่งยืน
2. ชื่นชมแนวทางของไทย ที่ให้ความสำคัญกับความพึ่งพาตนเองของผู้หนีภัย (Self – Reliance) ควบคู่กับหลักความมั่นคงและกติกาภายในประเทศ โดยมองว่าเป็นแนวทางที่ถูกต้องและเป็นหนทางที่ควรเดินต่อไป
3. กล่าวว่าตนเคยเห็นผู้หนีภัยการสู้รบฯ เหล่านี้ด้วยตนเอง ในการเยือนไทยครั้งล่าสุด และรับรู้ถึงผลงานและความทุ่มเทของรัฐบาลไทยในภาคสนาม
4. ชื่นชมบทบาทของไทยในฐานะ “ผู้นำของโลกด้านการแก้ปัญหาคนไร้รัฐไร้สัญชาติ” โดยเฉพาะมาตรการปรับปรุงแนวทางและกระบวนการการให้สัญชาติและถิ่นที่อยู่ถาวรแก่คนไร้รัฐฯ กว่า 480,000 คน ซึ่งถือเป็นเหตุผลสำคัญที่ UNHCR จัดการประชุมระดับสูงเพื่อสานต่อการทำงานในประเด็นนี้ต่อไป
5. กล่าวขอบคุณไทยอย่างจริงใจ ที่ยังคงให้ความร่วมมือและเป็นพันธมิตรสำคัญของ UNHCR
6. ไทยเป็น “ประเทศที่อยู่ใกล้หัวใจของเขา” เพราะเป็นสถานที่ที่เขา เริ่มต้นงานด้านผู้ลี้ภัยในฐานะอาสาสมัครกว่า 40 ปีก่อน และขอกล่าวถ้อยคำนี้ในวาระ “วันสุดท้ายของการดำรงตำแหน่ง”
สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถรับชมได้ที่ https://webtv.un.org/en/asset/k1n/k1n6hddm20
กองความมั่นคงภายในประเทศ
สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ